เกรท วอลล์ มอเตอร์ ได้เชิญเรา “Speedxonline/onairFM89.5” เข้าร่วมงาน “All New HAVAL JOLION Hybrid SUV – Your Intelligent SUV” เพื่อทดลองขับเจ้า All New HAVAL JOLION Hybrid SUV (ออล นิว ฮาวาล โจไลอ้อน ไฮบริด เอสยูวี) รถยนต์เอสยูวีรุ่นที่ 2 จากแบรนด์ HAVAL โดยเนรมิตพื้นที่ ณ อิมแพ็ค เลคไซด์ เมืองทองธานี ให้เป็นสถานีทดสอบเทคโนโลยีการขับขี่ และพื้นที่จัดกิจกรรม “Joy Race” ที่สนุกสนานไปกับการทดลองใช้งานฟังก์ชั่นต่างๆ ของรถยนต์ และยังได้ทดลองขับขี่บนท้องถนนจริงบนเส้นทางกรุงเทพฯ – สระบุรี
สำหรับ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV ที่ทำตลาดในประเทศไทยมีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่น คือ รุ่น TECH, PRO และ ULTRA โดย All New HAVAL JOLION Hybrid SUV ที่ได้ทดลองขับกันในวันนี้ จะเป็นรุ่น ULTRA ท้อปสุดกัน
ภายนอกโดดเด่นด้วยระบบไฟหน้าฟูล LED กระจังหน้าแบบ Star Matrix หลังคาซันรูฟแบบ Panoramic ไฟท้ายฟูล LED ภายในสวยงามด้วยดีไซน์ภายในแบบทูโทน เกียร์แบบ Electronic Shifter & แท่นชาร์จโทรศัพท์ไร้สาย พวงมาลัยแบบ Multi-Function แผงประตูข้างดีไซน์สุดหรู หน้าจอมัลติมีเดียแบบสัมผัสขนาด 12.3" เบาะนั่งตอนหลังพับได้อิสระ ขนาดสัดส่วน ยาว 4,472 มม. กว้าง 1,841 มม. สูง 1,619 มม. ระยะฐานล้อ 2,700 มม. ระยะห่างล้อคู่หน้า/หลัง 1,577 / 1,597 มม. 8วามสูงใต้ท้องรถ 168 มม.
เครื่องยนต์เป็นแบบ DOHC 4 สูบ 16 วาล์ว Multi-Point Fuel Injection ความจุ 1,497 ซีซี เครื่องยนต์ 95 แรงม้า ที่ 6,000 รอบ/นาที มอเตอร์ไฟฟ้า 156 แรงม้า กำลังรวมสูงสุด 190 แรงม้า เครื่องยนต์แรงบิดสูงสุด 125 นิวตัน-เมตร มอเตอร์ 250 นิวตัน-เมตร แรงบิดรวมสูงสุด 375 นิวตัน-เมตร เกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ DHT
ช่วงแรกของการทดลองขับจะเริ่มกันที่สนามทดสอบรถแบบระบบปิด (Test Track) บริเวณอิมแพ็ค เลคไซด์ เมืองทองธานี เพื่อทดลองสมรรถนะและเทคโนโลยีอัจฉริยะของ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV กัน
1. การทดสอบอัตราเร่ง
เป็นการทดสอบสมรรถนะและความแรงของเครื่องยนต์ 1.5L ที่ทำงานร่วมกับมอเตอร์ไฟฟ้าของรถยนต์ เมื่อเริ่มกดคันเร่งออกตัวรู้สึกว่าตัวรถสามารถตอบสนองได้อย่างรวดเร็ว อัตราเร่งช่วงแรกถือว่าดีใช้ได้ อัตราเร่งช่วงกลางรุ้สึกว่าดีกว่าช่วงแรกอย่างชัดเจน การไต่ความเร็วเป้นไปอย่างต่อเนื่องการทำงานของระบบเกียร์ก็สอดคล้องกันอย่างลงตัว อัตราเร่งช่วงปลายก็ยังสามารถขึ้นไปได้เรื่อยๆแต่รู้สึกจะช้ากว่าช่วงกลางที่ผ่านมา ก็ถึงจุดเบรกด้วยความเร็วเกือบ 100 กม./ชม.เป็นอันจบสถานีแรก ซึ่งดูเหมือนเครื่องยนต์ 1.5 ลิตรกับมอเตอร์ไฟฟ้าจะช่วง “ดัน” ช่วงต้นกับช่วงกลางได้ดี ดูแล้วน่าจะเหมาะกับการใช้งานในเมืองใหญ่ๆทีเดียว
2.. การทดสอบการขับขี่แบบสลาลม (Slalom)
เป็นการทดสอบการทรงตัวของตัวรถยนต์ การควบคุมพวงมาลัยและความแม่นยำของพวงมาลัยขณะขับขี่ เมื่อต้องการเปลี่ยนเลน เจ้า HAVAL JOLION ก็ยังทำได้ดี การขับคับควบคุมง่าย เบา และเชื่องมือ สามารถบังคับตัวรถให้เลี้ยว ซ้าย-ขวา ผ่านไปได้อย่างง่ายดาย ส่วนการทรงตัวของรถจะมีอาการเอียงตามการเข้าโค้งแต่ดูมากไปนิดหน่อยเหมือนกัน แต่ก็ถือว่าไม่ได้เป็นปัญหาหนักหนาอะไร อัตราเร่งช่วงออกโค้งก็ทำได้ดีสามารถ “กด” ให้ตัวรถเข้าและออกโค้งได้ทันใจดี
3.การทดสอบการขับขี่ขณะเปลี่ยนเลน (Lane Change)
จำลองสถานการณ์การขับรถยนต์แล้วต้องมีการบังคับพวงมาลัยเพื่อเปลี่ยนเลนหรือเส้นทางกระทันหันแล้วต้องบังคับพวงมาลัยเอบังคับรถให้กลับมาสู่เลนหรือเส้นทางเดิม HAVAL JOLION ช่วงแรกก็เร่งความเร็ววิ่งมาตามปกติ จากนั้นก็ถูกบังคับให้หักเลี้ยวเปลี่ยนเลนไปด้านขวา แล้วต่อเนื่องด้วยการหักเลี้ยวมาทางซ้ายเพื่อกลับสู่เลนปกติ การบังคับควบคุมสามารถหักเลี้ยวไปฉับไวตามต้องการ ตัวรถมีอาการโยนตามจังหวะเลี้ยวมากหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีเสียการทรงตัวแต่อย่างใด ช่วงหักเลี้ยวกลับตัวรถก็ยังมีเอียงพร้อมเสียงยางที่ครวญครางออกมา แต่เจ้า HAVAL JOLIONก็ยังสามารถเอาตัวรอดผ่านอุปสรรคไปได้อย่างปลอดภัยและน่าจะ “เอาอยู่” ทุกสถานการณ์บนท้องถนน
4. การทดสอบระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC)
All New HAVAL JOLION Hybrid SUV มาพร้อมกับกล้องติดรถยนต์ ADAS ที่ประสานกับชิปควบคุมการขับเคลื่อนอัตโนมัติ EYEQ4 ของโมบายอาย ช่วยควบคุมรถยนต์ให้อยู่ในช่วงความเร็วที่กำหนดไว้ โดยจะปรับลดความเร็วเพื่อรักษาระยะห่างระหว่างรถยนต์คันหน้าเพื่อความปลอดภัย รวมไปถึงการหยุดและรีสตาร์ทกลับไปยังความเร็วที่ตั้งไว้ก่อนหน้า การทดลองใช้งานจริง HAVAL JOLION สามารถทำงานได้จริง ตัวรถสามารถขับเคลื่อนไปได้อย่างปลอดภัยด้วยการทำงานที่แม่นยำ ตราบใดที่สามารถตรวจจับรถยนต์คันหน้าได้ตามปกติ ยิ่งช่วงการชะลอความเร็วจนหยุดนิ่งก็ยังสามารถออกตัวตามไปได้อย่างปกติ
5. การทดสอบระบบช่วยจอดรถอัจฉริยะ 3 รูปแบบ (IIP)
เป็นการใช้เซ็นเซอร์และกล้องในการตรวจสอบ เพื่อตรวจจับวัตถุและเครื่องหมายบริเวณช่องจอดหรือจุดจอดรถ จากนั้น ระบบจะทำงานเต็มรูปแบบเพื่อเข้าจอด ไมว่าจะเป็นการจอดแบบแนวตรง แนวเฉียง และการจอดเทียบข้าง ที่ทำได้อย่างแม่นยำและสะดวกสบาย โดยในการทดสอบที่สนามทดสอบจะเป็นการทดสอบการจอดแบบแนวตรง และการจอดเทียบข้าง ส่วนการทดลองใช้งานจริง การทำงานของระบบถือว่าแม่นยำมาก สามารถค้นหาและเข้าจอดในจุดที่ต้องการได้อย่างยอดเยี่ยมถือแม้ตัวผู้ขับจะเสียวเล็กๆก็ตาม การใช้งานต้องกดปุ่มคำสั่งอย่างเป็นขั้นตอนรวมกับเวลาการทำงานของระบบ “อาจจะ” ไม่สะดวกสำหรับการใช้งานบนถนนปกติในบ้านเราเพราะดูจะใช้เวลา “มาก” ไปนิดนึง แต่ถ้าอยู่ในลานหรือสถานที่สำหรับจอดรถโดยเฉพาะจะสะดวกมาก แม้การช่วยออกจากที่จอดระบบก้ยังสามารถทำงานได้อย่างแม่นยำเช่นกัน
6. การทดสอบเทคโนโลยีคันเร่งอัจฉริยะ (Intelligent Single Pedal)
เป็นการทดสอบการเร่งหรือชะลอความเร็วโดยใช้เพียงคันเร่งเดียว โดยเมื่อตำแหน่งเกียร์อยู่ที่เกียร์ D ให้เหยียบคันเร่ง หรือยกเท้าออกจากแป้นคันเร่งเท่านั้น ก็จะสามารถทำให้รถยนต์เพิ่มความเร็ว หรือลดความเร็ว และจอดรถยนต์ได้อย่างสมบูรณ์แบบ ลองแล้วระบบนี้จะช่วยอำนวยความสะดวกผู้ขับให้สามารถขับเจ้า HAVAL JOLION ได้อย่างง่ายดายด้วยแป้นคันเร่งเพียงอย่างเดียว ทั้งการเร่งและการชะลอความเร็ว ซึ่งระบบก็สามารถทำงานได้อย่างดีเยี่ยมและใช้งานได้จริงในชีวิตประจำวัน
ช่วงตอมาออกเดินทางจากอิมแพ็ค เลคไซด์ เมืองทองธานี เพื่อเดินทางไปยังจังหวัดสระบุรี เพื่อทดสอบสมรรถนะและความชาญฉลาดของรถยนต์ All New HAVAL JOLION Hybrid SUV บนถนนจริงเพิ่มเติม ไม่ว่าจะเป็น โหมดการขับขี่ 4 รูปแบบ ได้แก่ โหมดมาตรฐาน โหมด Sport โหมด ECO และ โหมดสภาพถนนลื่น เริ่มจากโหมดแรก “มาตรฐาน” เหมาะกับการขับขี่ใช้งานทั่วไปตามปกติ การตอบสนองคันเร่งปานกลาง ไม่ไวและไม่หน่วงจนเกินไป อัตราเร่งช่วงออกตัวทำได้ดี ออกตัวง่ายและทันใจ การทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้าลงตัวดี ส่วนโหมด Sport อันนี้จะรู้สึกได้เลยว่าการตอบสนองคันเร่งจะไวขึ้น การทำงานร่วมกันของเครื่องยนต์และมอเตอร์ถูกเค้นมากขึ้น อัตราเร่งจัดจ้านมากขึ้นทั้งช่วงต้น กลาง และปลาย การเร่งแซงช่วงถนน 2 เลนสวนทำได้ค่อนข้างดี ความเร็วช่วง 90-120 กม./ชม. มาไวใช้ได้เลยทีเดียว
ส่วนโหมด ECO นี้เน้นอัตราการสิ้นเปลืองต่ำ การตอบสนองคันเร่งช้า อัตราเร่งนุ่มนวล ขับใช้งานทั่วไปจะรุ้สึกขับง่ายไม่กระชากเป็นมิตรต่อผู้โดยสาร ส่วนสุดท้ายโหมดนี้ไม่ได้ลองคือโหมดสภาพถนนลื่น เนื่องจากช่วงทดลองขับไม่ได้เจออุปสรรคฝนตกถนนลื่นแต่อย่างใด แต่จากชื่อโหมดก็คงโดน “ตอน” รวมถึงจัดสรรกำลังในการขับเคลื่อนเพื่อลดการลื่นไถลยามวิ่งบนนถนนเปียกนั่นเอง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นการเข้าถึงโหมดทั้งหมดนี้ดูจะ “ยาก” ไปสักหน่อยเพราะต้องกดเข้าไปเลือกที่จอแสดงผลตรงกลาง ถ้ายกออกมาเป็นปุ่มด้านนอกคงจะใช้งานได้สะดวกกว่า
ส่วนระบบการเข้าโค้งอัจฉริยะ โดยเมื่อระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน (ACC) ทำงาน กล้องจะทำการตรวจสอบความโค้งของถนน และความเร็วจะถูกปรับอัตโนมัติหากจำเป็นต้องลดความเร็วในขณะเข้าโค้งเพื่อความปลอดภัย และเมื่อผ่านโค้งไปแล้ว รถจะกลับเข้าสู่ความเร็วเดิมที่ตั้งไว้ อันนี้เท่าที่ลองสามารถใช้งานได้จริง ตัวรถจะถูกประคองให้อยู่ในเลนได้อย่างแม่นยำ แถมช่วงเข้าโค้งยังสามารถลดความเร็วอย่างอัตโนมัติได้จริง ช่วยให้เกิดความมั่นใจและปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ขับและผู้โดยสารของเจ้า HAVAL JOLION
อีกระบบที่ได้ลองในการขับจริงบนท้องถนนคือระบบช่วยเลี่ยงการเข้าใกล้รถใหญ่จากด้านข้าง (WDS) ยิ่งเส้นทางนี้มีรถบรรทุกวิ่งบนถนนกันเพียบ โดยระบบจะตรวจสอบรถบรรทุกขนาดใหญ่หรือรถที่มีขนาดยาวหรือสูง ในระหว่างการขับผ่านทางด้านซ้ายหรือด้านขวา ระบบจะเบี่ยงเพื่อเพิ่มระยะห่างตามระยะที่เหมาะสมเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะ และกลับสู่กึ่งกลางของเลนเดิมอัตโนมัติ ซึ่งตัวระบบก็ “ขยัน” ทำงานเป็นอย่างยิ่ง ช่วยเพิ่มความปลอดภัยให้กับทุกชีวิตใน HAVAL JOLION ทั้งในขณะปกติและช่วงเผลอเพียงชั่วขณะก็ตาม
ในส่วนของการทรงตัวยามเดินทางไกลช่วงทางตรง HAVAL JOLION ไม่ว่าความเร็วสูงหรือความเร็วต่ำตัวรถก็ให้ความมั่นคงดี ช่วงล่างปรับเซ็ทมาแล้วรู้สึกความเร็วต่ำนุ่มนวลกำลังดี ตอนความเร็วสูงก็ยังพอดีไม่แข็งหรือนุ่มเกินไป เดินทางไกลสบายไม่เหนื่อย แต่พอถึงทางโค้งกลับมาอาการโยนตัวมากไปหน่อย ถ้าเดินทางบนถนนที่โค้งเยอะๆอาจจะลำบากผู้โดยสารตอนหลังหน่อย ส่วนระบบเบรกความเร็วต่ำทำงานได้ดี ประสิทธภาพการหยุดใช้ได้ แต่เพียงความรู่สึกแรกในการเหยียบเบรกอาจตอบสนองช้าไปหน่อย พอเพิ่มแรงเหยียบกลับมากเกินจน มีอาการจับดีจน“หัวทิ่ม” ผู้ขับเลยต้องสร้างความคุ้นเคยในการเบรกสักหน่อย การเร่งแซงยามความเร็วสูงบนท้องถนนจริง HAVAL JOLION ทำได้ดี อัตราเร่งเป็นไปอย่างต่อเนื่อง ไม่ได้ดึงแบบดุดันแบบให้คู่แข่งบางรุ่น อัตราเร่งจาก 0-100 กม./ชม. ลองจับเวลาคร่าวๆใช้เวลาไปแถวๆ 10-11 วินาที สุดท้ายอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงแบบขับปกติแบบชาวบ้านทั่วไปได้แถวๆ 17 กม./ลิตร กับระยะทางไปกลับ 300 กม.นิดๆ