ทดลองขับ Toyota Fortuner GR Sport “Race your Pride Ambition”

ทดลองขับ Toyota Fortuner GR Sport  “Race your Pride Ambition”


       เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา ทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด เปิดตัว โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ GR Sport ครั้งแรกของโลกที่ประเทศไทย โดยได้แรงบันดาลใจมาจากการพัฒนารถในสไตล์รถแข่ง World Rally Championship (WRC) ซึ่งถือว่าเป็นจุดสูงสุดของรุ่นที่ได้รับการปรับปรุงให้ดีพร้อมในทุกๆด้าน ทั้งในเรื่องสมรรถนะและสิ่งอำนวยความสะดวก


       สำหรับทางบริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด นั้นเริ่มแนะนำรถอเนกประสงค์ในนาม โตโยต้า ฟอร์จูนเนอร์ เจนเนอเรชั่นที่ 1 ในปี พ.ศ. 2548 (2005) ภายใต้โครงการ “IMV: Innovative International Multi-Purpose Vehicle”  จัดอยู่ในกุล่มรถอเนกประสงค์ประเภท Pick-Up Passenger Vehicle (PPV) ในประเทศไทย รวมไปถึงในตลาดต่างประเทศ และมียอดจำหน่ายรวมทั้งสิ้นมากกว่า  380,000 คัน* (*ข้อมูลยอดขายสะสมของฟอร์จูนเนอร์ภายใต้โครงการ IMV ตั้งแต่ปี 2547 – กรกฎาคม 2564) พร้อมยืนยันด้วยรางวัลด้านคุณภาพมากมาย อาทิ รางวัล เจ.ดี.พาวเวอร์ เอเซีย แปซิฟิก (JD Power) รางวัลธุรกิจยานยนต์ยอดนิยมแห่งปี (TAQA Awards) และรางวัลรถยนต์ยอดเยี่ยมแห่งปี (Car of the year) จากรุ่นแรกก็ได้มีการปรับปรุงและพัฒนารถอเนกประสงค์ชื่อรุ่น ฟอร์จูนเนอร์ มาอย่างต่อเนื่อง โดยปี 2009 ก็เปลี่ยนเป็นโฉม 2 เรียกว่า “หน้ายักษ์” 2012 ก็ปรับปรุงขนานใหญ่แต่ยังใช้บอดี้เดิม โฉมนี้ทั่วๆไปเรียกว่า “หน้าแชมป์” และพอปี 2015 ตัว Fortuner ก็ถึงเวลาปรับเปลี่ยนใหม่หมดทั้งคัน ต่อจากนั้นก้มีการปรับปรุงและพัฒนาเป็นระยะๆจนมาถึงปัจจุบัน


         ฟอร์จูนเนอร์ รุ่น GR Sport  ถือได้ว่าเป็นรุ่นสูงสุดของรถในตระกูล PPV ของโตโยต้า ซึ่งมีที่มาเฉกเช่นเดียวกับการพัฒนารถไฮลักซ์ รีโว่ รุ่น GR Sport ด้วยการนำเอาประสบการณ์และความรู้ทางเทคนิค จากการที่โตโยต้าได้เข้าร่วมการทดสอบสมรรถนะยานยนต์ในสนามแข่งขันทั่วโลกผ่านแบรนด์รถแข่งระดับโลกอย่าง TOYOTA GAZOO RACING นั่นเอง

         Fortuner GR Sport  มิติภายนอก ยาว 4,795 มม. ยาว 1,855 มม. สูง 1,835 มม.ความยาวช่วงล้อ 2,750 มม.ความกว้างช่วงล้อหน้า 1,540 มม.หลัง   1,555 มม.ระดับต่ำสุดจากพื้น (วัดจากจุดต่ำสุดของรถ) 193 มม. ส่วนมิติภายใน ยาว 2,487 มม. กว้าง 1,478 มม. สูง 1,103 มม.รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด 5.8 ม.


          ภายนอกมาตามแบบฉบับรถแข่งดับโลก Toyota Gazoo Racing  สะท้อนความเป็น Sport Premium PPV เต็มขั้น เริ่มจากกระจังหน้าสีดำเงาดีไซน์ใหม่ พร้อมสัญลักษณ์ GR ตัวกันชนหน้ามาพร้อมชุดตกแต่งสีดำเงา มือจับประตูสีเดียวกับตัวรถ สเกิร์ตหน้าดีไซน์ใหม่พร้อมทำเป็นสีเดียวกับตัวรถ คิ้วซุ้มล้อจากสีดำในรุ่นธรรมดาก็จัดการเป็นสีเดียวกับตัวรถเช่นกัน ส่วนล้อและยางให้มาเป็นขนาด 20 นิ้ว พ่นสีดำดูดุดัน ยางก็เป็นขนาด 265/50R20 เท่ากันทั้ง 4 ล้อ


         ด้านหลังกันชนทรงเดิมเพิ่มชายล่างดีไซน์สปอร์ตสีเดียวกับตัวรถ คิ้วคาดระหว่างโคมไฟท้ายก็พ่นเป้นสีเดียวกับตัวรถ โลโก้ “3 ห่วง” เปลี่ยนเป็นแบบแก้วดูทันสมัยเข้ากับด้านหน้า ส่วนโลโก้ GR แปะที่มุมให้ดูแตกต่างอย่างไม่ธรรมดา สปอยเลอร์หลังดีไซน์ใหม่สไตล์สปอร์ตพร้อมเล่นสีเดียวกับตัวรถเช่นกัน

         ช่วงล่างถือว่าเป็นจุดขายขอเจ้า Fortuner GR Sport  คันนี้เลย ด้านหน้าเป็นแบบอิสระปีกนกคู่ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง และด้านหลังเป็นแบบโฟร์ลิงค์ พร้อมคอยล์สปริง เหล็กกันโคลง ตัวช็อคอับฯทั้งหน้า-หลังจัดมาเป็นแบบ Monotube ที่สามารถออกแบบให้มีประสิทธิภาพดีกว่าทุกๆด้านเมื่อเที่ยบกับช็อคอับฯแบบ Twintube ที่ติดรถทั่วๆไป ส่วนคอยล์สปริงหน้าและหลังก็ได้ปรับเซ็ทมาใหม่ด้วยเช่นกัน ระบบเบรกหน้า-หลังหน้าตาเหมือนกับรุ่น Legender แต่แตกต่างด้วยการพ่นสีแดงพร้อมโลโก้ GR ให้ดูเข้มขลังเต็มพิกัด


          ภายใน Fortuner GR Sport  เมื่อเปิดประตูเข้าไปในห้องดดยสารที่ดีไซน์แบบสปอร์ตเล่นโทนสีดำสลับแดง  เบาะนั่ง Suede แบบเจาะรู และหนังสังเคราะห์เดินด้ายตกแต่งสีแดง พร้อมสัญลักษณ์ GR เป็นแบบปรับไฟฟ้า ทั้งด้านผู้ขับและผู้โดยสาร ด้านหลังแถว 2 และ 3 ตัวเบาะก็เป็นหนังแบบเจาะรูเดินด้ายตกแต่งสีแดงเช่นกัน แถมตัวเบาะยังมีระบบปรับเลื่อนและพับและยกขึ้นจังหวะเดียวในแถว 2 ส่วนเบาะนั่งแถวที่ 3 ยังแบ่งส่วน 50/50 ปรับเอนและพับเก็บได้แบบเบาแรง


         แผงคอนโซลหน้าตกแต่งด้วยแถบสี Smoke silver พร้อมบุหนังสังเคราะห์สีดำเดินด้ายแดง ตัวพวงมาลัยแร็คแอนด์พีเนียน พร้อมพาวเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบ VFC ปรับได้ทั้ง สูง-ต่ำ และเข้า-ออก (Tilt & Telescopic) หุ้มหนังด้วยแบบ Soft Touch เจาะรู พร้อม Center Mark สีแดง หนังเดินด้ายสีแดง ตกแต่งด้วยสี Smoke Silver และสัญลักษณ์ GR ก้านพวงมาลัยด้านซ้าย-ขวาเป็นที่อยูของปุ่มควบคุมเครื่องเสียง ระบบเชื่อมต่อต่างๆ ปุ่มควบคุมจอแสดงผลและปุ่มควบคุมตัวช่วยในการขับขี่อีก ด้านหลังติดตั้งก้านเปลี่ยนเกียร์ +/- แบบรถสปอร์ตด้วย มาตรวัดทรงเดิมแบบ Analog สีสันสวยงาม มองดูสบายตา ไม่แพรวพราว พร้อมโลโก้ GR มาทักทายเวลาเริ่มสตาร์ทด้านล่างแป้นคันเร่งและเบรคดีไซน์แบบสปอร์ต


         ตรงกลางของคอนโซลหน้าเป็นที่อยู่ของจอ จอสัมผัสขนาด 9 นิ้ว รองรับ Bluetooth/USB รองรับ ระบบ Apple CarPlay และระบบโทรออกด้วยเสียง และยังทำงานร่วมกับระบบเครื่องเสียง Premium Audio พาวเวอร์แอมป์ และลำโพง JBL 9 ตำแหน่ง 11 ลำโพง (รวม Sub-Woofer) ซึ่งฟังเสียงแล้วถือว่า “โอเค” รายละเอียดเสียงกลาง แหลมชัดดี แต่เสียงทุ้มจากซับฯดูเบาบางไปหน่อย  ถัดลงมาเป็นแผงระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ พร้อมฟังค์ชั่นปรับอุณหภูมิแยกอิสระซ้าย-ขวา ถัดลงมาอีกเป็นปุ่มควบคุมระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC กับปุ่มแบบบิดสำหรับเลือกใช้งานระบบขับเคลื่อน 2 ล้อหรือ 4 ล้อ


         ด้านล่างสุดของคอนโซลหน้าเป็นอุปกรณ์ชาร์จไฟแบบไร้สาย (Wireless Charger) ขยับมาตรงกลาง คันเกียร์พร้อมโหมดใช้งานแบบเกียร์ธรรมดา และตกแต่ง ลาย Carbon Fiber / แถบสี Smoke Silver ดูสปอร์ตดี ปุ่มเลือกโหมดการขับขี่ “Eco/Normal/Sport” ที่จัดวางใกล้ๆใช้งานได้สะดวก สุดท้ายปุ่มควบคุมระบบการทรงตัวจัดวางอยูใกล้ที่วางแขนตรงกลาง

         ระบบความปลอดภัยของ Fortuner GR Sport ก็มีมาให้อย่างเต็มลำ อย่างกล้องมองรอบคัน PVM (Panoramic View Monitor) พร้อมมุมมองแบบ 3D View ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตาที่กระจกมองข้าง BSM (Blind Spot Monitor) กับ ระบบช่วยเตือนขณะถอยรถ RCTA (Rear Cross Traffic Alert) ที่เพิ่มเติมเข้ามา สัญญานเตือนกะระยะด้านท้ายและที่มุมกันชนทั้ง 4 มุม ระบบป้องกันล้อล็อก ABS และระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบเสริมแรงเบรก BA ระบบควบคุมการทรงตัว VSC


        ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีแบบ A-TRC ระบบควบคุมการส่ายของส่วนพ่วงท้าย TSC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAC ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน DAC ระบบควบคุมเฟืองท้าย (Auto Limited Slip Differential) ระบบความปลอดภัยก่อนการชน PCS ระบบเตือนเมื่อออกนอกเลน พร้อมหน่วงกลับอัตโนมัติ LDA โครงสร้างนิรภัย GOA คานเหล็กนิรภัยด้านข้าง และระบบถุงลมเสริมความปลอดภัย SRS


        เครื่องยนต์เป็นดีเซลรหัส 1GD-FTV แบบ 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว DOHC VN Turbo และ Intercooler ความจุ 2,755 ซีซี แรงม้านสูงสุด 204 ตัว ที่ 3,400 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 500 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600 - 2,800 รอบต่อนาที ระบบเกียร์เป็นแบบอัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อม Sequential Shift และ Paddle Shift และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ


         เริ่มทดลองขับปิดประตูรถเข้าไปจากการตกแต่งของ Fortuner GR Sport ทั้งตัวเบาะนั่งและสีภายใน ส่งผลให้ตัวรถดูพิเศษสมกับคำว่า “GR” เบาะนั่งเล่นสีและลวดลายดูดีกว่าตัว Legender ตัวเบาะนั่งแล้วกระชับกับร่างกายดี พวงมาลัยทรงเดิมเพิ่มเติมคือเปลี่ยนหนังหุ้มเป็นแบบรูที่ “เกาะมือ” กว่ารุ่นธรรมดา แผงหน้าปัดไม่แพรวพราวแต่ดูง่ายใช้งานสะดวก  มองตรงกลางของคอนโซลหน้าแผงควบคุมระบบปรับอากาศก็ปรับปรุงให้สามารถแยกปรับอุณหภูมิซ้าย-ขวาได้อย่างอิสระจากกันแล้ว แผงคอนโซลตรงฐานเกียร์เล่นลายคาร์บอนดูสวยดี แต่มีมาจุดเดียวตรงนี้เท่านั้น กระจกมองข้างมีไฟเตือนระบบช่วยเตือนมุมอับสายตามาให้แล้ว


        กดปุ่มสตาร์ทที่มีสัญลักษณ์ GR เครื่องยนต์ก็ติดขึ้นมาอย่างง่ายดาย เข้าเกียร์ตำแหน่ง D เพื่อออกตัว ช่วงแรกใช้เป็นโหมด NORM ก่อน การออกตัวดูไม่ค่อยกระฉับกระเฉงนัก ต้องกดคันเร่งลึกหน่อบตัวรถถึงเริ่มเคลื่อนตัว ข้อดีก็คือความนุ่มนวลในการออกตัวเพราะไม่กระชาก แต่ถ้าต้องการ “ชิงจังหวะ” เปลี่ยนเลนบนถนนอาจใช้โหมด SPORT จะทันใจกว่า อัตราเร่งโหมด NORM ค่อนข้างนุ่มนวลไม่กระชาก การตอบสนองคันเร่งจะช้าหน่อยเหมาะคันในเมืองหรือเดินทางไกลแบบไม่รีบเร่ง


        ถ้าเลือกกดปุ่มใช้โหมด SPORT คันเร่งจะตอบสนองได้ไวขึ้น กดคันเร่งนิดเดียวตัวรถก็ตอบสนองทันทีอัตราเร่งแซงเลยมาให้ใช้งานได้อย่างทันใจ ช่วงล่างชุดนี้ของ  Fortuner GR Sport ปรับเซ็ทมาได้ลงมากกว่าตัว Legender ขึ้นปอีกขั้น ขับช่วงความเร็วต่ำยังรู้สึกถึงความนุ่มนวลและไม่กระด้าง ช่วงผ่านรอยต่อของถนนสามารถเก็บแรงกระแทกได้หมด จากที่ตัว Legander จะมีอาการกระแทกให้รู้สึกอยู่บ้าง ช่วงผ่านถนนที่ปะหรือขรุขระก็ยังรู้สึกถึงความนุ่มและแน่นของช่วงล่างแต่อาการสั่นสะเทือนมีส่งมาสู่ห้องโดยสารน้อยมาก ถามผู้โดยสารด้านหลังก็ยังยอมรับว่าตัวรถ Fortuner GR Sport รู้สึกนั่งสบายกว่าตัว Legender พอสมควรเลย เพราะอาการกระแทกหรืออาการโคลงของตัวรถมีน้อยกว่าอย่างชัดเจน การบังคับควบคุมช่วงความเร็วต่ำในเมืองคล่องแคล่วและเชื่องมือ น้ำหนักการสาวพวงมาลัยกำลังดี ระบบเบรกช่วงความเร็วต่ำสามารถชะลอความเร็วได้ดีมาก ความรู้สึก “ดึง” จนหยุดได้อย่างนุ่มนวลและน่าทึ่ง ยอมรับเลยว่าทาง Toyota ปรับปรุงและปรับเซ็ทระบบต่างๆครั้งนี้มาเป็นอย่างดี


        ช่วงขับออกนอกเมืองที่สามารถใช้ความเร็วได้สูงขึ้น Fortuner GR Sport ก็ตอบสนองได้ดี อัตราเร่งค่อเนื่อง ระบบเกียร์มีการทำงานที่ราบรื่นใช้ได้ รอยต่อของการเปลี่ยนเกียร์ยังมีให้รู้สึก ซึ่งถ้ามีเกียร์ให้ใช้ระดับ 7 หรือ 8 สปีด การทำงานของเกียร์น่าจะนุ่มนวลกว่านี้แน่นอน การทรงตัวยามใช้ความเร็วสูงนิ่งดีใช้ได้ ลองกดเพิ่มความเร็วไปถึง 170 กม./ชม. Fortuner GR Sport ยังทำได้ดี นิ่ง และมั่นคง ผู้ขับมีอาการเครียดน้อยกว่ารุ่นอื่นอย่างชัดเจน ลองความเร็วระดับนั้นเพียงครู่ก็กลับมาสู่ความเร็วเดินทางปกติตามกฏหมายกำหนดตามเดิม ส่วนการเร่งแซงสามารถทำได้ดี กำลังมีมาให้ใช้อย่างต่อเนื่อง ช่วงความเร็ว 100-130 กม./ชม.ใช้เวลาไม่มากซึ่งถือว่ารวดเร็วทันใจดี ส่วนระบบบังคับควบคุมย่านความเร็วสูงยังคงมั่นคงเพราะน้ำหนักพวงมาลัยปรับมาให้ “ตึง” ขึ้น กว่าช่วงความเร็วต่ำ


        การเข้าโค้ง  Fortuner GR Sport สามารถเกาะเข้าไปได้อย่างมั่นคง อาการโยนตัวของรถน้อยมากถึงแม้ลักษณะของตัวรถจะสูงแบบตัวลุยก็ตาม โค้งกว้างหรือแคบก็ขับผ่านไปได้อย่างสบายสมกับเป็นรุ่นที่ทาง Toyota ลงมือปรับแต่งมา เจอสภาพคอสะพานดุๆตัวรถก็ยังนิ่ง ช่วงล่างเซ็ทความหนืดช่วงยุบและช่วงยืดมาได้อย่างพอดี ไม่นุ่มหรือกระด้างจนเกินไป ซซึ่งถ้าเจ้าของรถไม่ได้เป็น “สายแต่ง” ช่วงล่างและระบบเบรกของเจ้า Fortuner GR Sport ที่มาจากโรงงานนี้ก็ถิอว่าน่าพอใจ รวมถึงครอบคลุมทุกการใช้งานทั้งในเมืองและเดินทางไกลแล้ว ส่วนอัตราการสิ้นเปลืองจากที่แจ้งบนจอแสดงผล การขับโหมด NORM ได้แถวๆ 14 กม./ลิตร ปลายๆ ส่วนถ้าใช้โหมด SPORT จะได้ตัวเลขแถวๆ 13 ปลายๆ ถึง 14 ต้นๆ กม./ลิตร


 

 

Tags :

view