ทดลองขับ NEW MG HS PHEV สุดประหยัด เพลินๆรอบเมืองกรุง

ทดลองขับ NEW MG HS PHEV สุดประหยัด เพลินๆรอบเมืองกรุง

         การทดลองขับในครั้งนี้จะเป็นการทดลองขับระยะทางสั้นๆกันซึ่งเส้นทางการขับจะวิ่งกันอยู่ในเมืองเป็นหลัก โดยเส้นทางจะเริ่มต้นกันแถวๆถนนประดิษฐ์มนูธรรม วิ่งสู่ถนนพระราม 9 แล้วผ่านอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ ถนนราชวิถี ต่อด้วยถนนสิรินธร เข้าสู่ถนนพุทธมณฑลสาย 1 ถนนราชพฤษ์ ข้ามสะพานสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช ต่อด้วยถนนพระราม 4 จากนั้นก็ขึ้นทางด่วนพิเศษ กลับสู่จุดหมายที่เดิมแถวถนนประดิษฐ์มนูธรรม รวมระยะทาง 60 กว่า กิโลเมตร


          สำหรับเจ้า NEW MG HS PHEV เป็น รถ SUV รุ่นล่าสุดของเอ็มจี ที่มาพร้อมเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ที่รวมเอาระบบขับเคลื่อน 2 ระบบ คือเครื่องยนต์และมอเตอร์ไฟฟ้า เข้าด้วยกัน พร้อมเทคโนโลยีและระบบ ความปลอดภัยขั้นสูง ครบครันด้วยองค์ประกอบการดีไซน์ที่โดดเด่น ภายใต้แนวคิด Brit Dynamic ที่ผสานทั้ง สมรรถนะ (Performance) การควบคุม (Handling) การออกแบบ (Design) และความปลอดภัย (Safety)         

         การออกแบบภายนอกเส้นสายตัวถังที่โค้งมน ในรูปแบบ British Shoulder Line กระจังหน้าเอกลักษณ์เฉพาะของเอ็มจีแบบ Stellar Magnetic Field ไฟหน้าแบบ LED Projector พร้อมระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ ไฟส่องสว่างสำหรับขับขี่เวลากลางวัน (Daytime Running Lights) ไฟท้าย LED Space Light Field ที่มีความโฉบเฉี่ยวและไฟเลี้ยวแบบ Sequential ที่แสดงผลแบบไล่ระดับทั้งด้านหน้าและด้านหลัง เพิ่มเอกลักษณ์ความเป็นรถยนต์ Plug-in Hybrid ด้วยล้ออัลลอยด์ดีไซน์ใหม่ในสไตล์ Thunder Wing Blade ขนาด 18 นิ้ว ส่วนระบบกันสะเทือนของช่วงล่างแบบ Euro Tuning Suspension เสริมด้วยระบบช่วงล่างหน้าแบบ MacPherson Strut และช่วงล่างหลังแบบ Multi-link ที่มาพร้อมเหล็กกันโคลงทั้งด้านหน้าและด้านหลัง


         ส่วนของภายในห้องโดยสารมาด้วยสี 2-Tone Monaco Blue เน้นเป็นวัสดุ Soft เบาะหนังคู่หน้าแบบ Sport Bucket Seat ตกแต่งด้วยวัสดุ Alcantara เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 6 ทิศทาง และเบาะนั่งผู้โดยด้านหน้าปรับไฟฟ้า 4 ทิศทาง เพิ่มความเป็นส่วนตัวในห้องโดยสารด้วย NVH Luxury Silence Space เพิ่มฟิล์มกันเสียง และแผ่นซับเสียงภายในห้องโดยสาร ที่จะช่วยตัดเสียงรบกวนภายนอก พร้อมหลังคาซันรูฟที่เปิดกว้างแบบพาโนรามา (Panoramic Sunroof) บนพื้นที่เกือบ 90% ของพื้นที่หลังคา พร้อมจอแสดงผลอัจฉริยะ Full Virtual Dashboard ขนาด 12 นิ้ว และจอควบคุมกลางแบบทัชกรีนขนาด 10 นิ้ว ระบบเสียง BOSE 8.1 Sound System สุดตารางด้วยการสร้างบรรยากาศและสีสันให้กับทุกการขับขี่ด้วย Interactive Ambient Light ที่สามารถปรับเฉดสีได้มากถึง 64 เฉดสีเลยทีเดียว ระบบปรับอากาศเป็นแบบอัตโนมัติแบบแยกฝั่ง Dual Zone พร้อมช่องแอร์สำหรับผู้โดยสาร ตอนหลัง กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ ระบบกรองอากาศ PM 2.5 ระบบกุญแจรีโมท Smart Key พร้อมปุ่ม Push Start และฝากระโปรงท้ายระบบไฟฟ้า


          NEW MG HS PHEV ขับเคลื่อนด้วยระบบ Plug-in Hybrid มีพละกำลังสูงสุด 284 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 480 นิวตันเมตร จากขุมพลังของเครื่องยนต์เบนซินเทอร์โบขนาด 1.5 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 162 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 250 นิวตันเมตร และมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงแบบ Permanent Magnet Synchronous Motor ที่ให้กำลังสูงสุด 122 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 230 นิวตันเมตร มีระบบเกียร์แบบ EDU II – 10 Speeds ที่ใช้เวลาเปลี่ยนเกียร์เพียง 0.2 วินาที ตอบสนองได้อย่างทันใจ และเพิ่มความนุ่มนวลมากยิ่งขึ้น สามารถทำอัตราเร่ง  0-100 ภายในเวลา 7.5 วินาที มาพร้อมรูปแบบการขับขี่ถึง 5 รูปแบบ ได้แก่ โหมด Normal โหมด Eco โหมด EV และโหมด Sport เสริมด้วยปุ่ม Super Sport ที่ช่วยให้การขับขี่ “เร้าใจ” ยิ่งขึ้นกว่าเดิม


         ในส่วนของแบตเตอรี่ใน NEW MG HS PHEV เป็นแบตเตอรี่ Lithium-Ion แบบ 6 โมดูลมีขนาด 16.6 kWh ตามที่ทาง MG แจ้งมาสามารถขับขี่ด้วยพลังงานไฟฟ้า 100% สูงสุดถึง 67 กิโลเมตร  ต่อการชาร์จเต็มหนึ่งครั้ง นอกจากนี้ ยังมีการใช้เทคโนโลยีในมอเตอร์ไฟฟ้าแบบ Hairpin Design ทำให้มอเตอร์ไฟฟ้าสามารถดึงสมรรถนะของการส่งกำลังและลดอัตราการสูญเสียพลังงานได้ดียิ่งขึ้น พร้อมระบบระบายความร้อนแบบ Coolant แยกกันทำให้การระบายความร้อนอุปกรณ์ต่างๆดีเยี่ยม อีกทั้งยังเพิ่มความมั่นใจและปลอดภัยในการขับขี่ด้วยแบตเตอรี่ที่ผ่านมาตรฐานความปลอดภัยระดับโลก AMERICAN UL2580 และผ่านการทดสอบตามมาตรฐาน IP67 ในการป้องกันน้ำและฝุ่น ส่วนระยะเวลาในการชาร์จแบบ AC ถ้าเป็น MG Home Charger ใช้เวลา 4 ชม. ส่วนถ้าเป็น MG Charging Cable จะใช้เวลา 5 ชม. สุดท้ายรับประกันแบตเตอรี่ไฮบริด 8 ปี รับประกันคุณภาพตัวรถ 4 ปี หรือ 120,000 กิโลเมตร กับศูนย์บริการ ณ ปัจจุบัน 147 แห่งทั่วไทย


          NEW MG HS PHEV มาพร้อมระบบ KERS (Kinetic Energy Recovery System) ที่สามารถชาร์จพลังงาน ในระหว่างการขับขี่กลับเข้าแบตเตอรี่ (Regenerative) โดยเลือกระดับการชาร์จพลังงานกลับได้ถึง 3 ระดับและด้วยเทคโนโลยี Plug-in Hybrid ทำให้ NEW MG HS PHEV มีอัตราการประหยัดน้ำมันสูงสุดอยู่ที่ 65 กิโลเมตรต่อลิตรและมีการปล่อยค่าไอเสีย หรือคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 36 กรัมต่อกิโลเมตร (อ้างอิงข้อมูลจาก Eco Sticker)

         จุดเด่นอีกอย่างของ NEW MG HS PHEV จะมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART เทคโนโลยีการเชื่อมต่อที่ทำให้ผู้ขับขี่สามารถสื่อสารกับรถเสมือนเป็นหนึ่งเดียวกัน ด้วยเทคโนโลยี AI ที่สามารถตอบโจทย์ ผู้ขับขี่ด้วย Smart Command ที่สามารถสั่งการระบบผ่านคำสั่งเสียงภาษาไทยหรือควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ ผ่านสมาร์ทโฟน พร้อมยกระดับความสมาร์ทเพื่อความปลอดภัยด้วย Emergency Call ซึ่งเป็นระบบโทรหาคนสำคัญอัตโนมัติในกรณีฉุกเฉินเมื่อถุงลมนิรภัยทำงาน ระบบ Smart Connect สามารถเลือกฟังเพลงได้ทั้งรูปแบบออนไลน์และสตรีมมิ่ง ระบบค้นหาร้านอาหาร สถานที่ท่องเที่ยว พร้อมนำทางและรายงานการจราจรแบบ Real Time รวมทั้งการอ่านข้อมูลข่าวสารต่างๆได้ และยังสามารถอัพเกรดระบบได้เองผ่านช่องทางออนไลน์ Smart Check ที่มีระบบ Charging Management ในการตรวจสอบสถานะแบตเตอรี่ การชาร์จไฟฟ้าเข้าแบตเตอรี่ และการค้นหาสถานีอัดประจุไฟฟ้า รวมถึงการตรวจสอบสถานะรถยนต์และเตือนเมื่อมีสถานะผิดปกติ สั่งการล็อคหรือปลดล็อคประตูรถ ค้นหารถด้วยระบบ Find My Car และการเข้าถึงบริการ Passion Service ของเอ็มจี ช่วยค้นหาศูนย์บริการ รวมถึงการบันทึกการดูแลรักษารถตามระยะ ผ่าน MG Mobile Application


         ปลอดภัยทุกการเดินทาง NEW MG HS PHEV มีระบบโครงสร้างตัวถังนิรภัย (Full Space Frame) และระบบความปลอดภัยมาตรฐานยุโรป Advanced Synchronized Protection System กว่า 25 ระบบ โดยแบ่งออกเป็นระบบความปลอดภัย เชิงป้องกันก่อนเกิดอุบัติเหตุที่ช่วยทั้งเรื่องระบบเบรก และช่วยรักษาเสถียรภาพในการขับขี่ จำนวน 14 ระบบ และระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) หรือระบบช่วยควบคุมการ ขับขี่ และลดความเสี่ยงในการเกิดอุบัติเหตุ จำนวน 11 ระบบ

        สำหรับระบบความปลอดภัยอัจฉริยะ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ถือเป็นระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ ระดับที่ 2 (Partial Automation) โดยแบ่งเป็น 3 กลุ่มหลัก ดังนี้

ระบบที่ช่วยป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดจากมุมอับสายตา RDA (Rear Drive Assist)

   •           ระบบช่วยเตือนเมื่อต้องการเปลี่ยนเลน LCA (Lane Change Assist)

   •           ระบบช่วยเตือนมุมอับสายตา BSD (Blind Spot Detection)

   •           ระบบช่วยเตือนขณะถอยหลัง RCTA (Rear Cross Traffic Alert)

   •           ระบบช่วยเตือนการเปิดประตู DOW (Door Open Warning)


ระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System)

   •           ระบบช่วยเตือนเมื่อรถออกนอกเลน LDW (Lane Departure Warning) ทำงานที่ความเร็ว 60-180 กม./ชม.

   •           ระบบช่วยควบคุมรถเมื่อรถจะออกนอกเลน LDP (Lane Departure Prevention) ทำงานที่ความเร็ว 60-180 กม./ชม.

   •           ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในเลน LKA (Lane Keep Assist) ทำงานที่ความเร็ว 60-180 กม./ชม.

ระบบที่ช่วยในการขับขี่ FDA (Front Drive Assist)

   •           ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) ทำงานที่ความเร็ว 60-150 กม./ชม.

   •           ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ทำงานที่ความเร็วไม่เกิน 60 กม./ชม.

   •           ระบบช่วยเตือนเมื่อเสี่ยงต่อการชนรถยนต์คันหน้าในขณะขับขี่ FCW (Forward Collision Warning) ทำงานที่ความเร็ว   ไม่เกิน 30 กม./ชม.

   •           ระบบเปิด-ปิดไฟสูงอัตโนมัติ IHC (Intelligent High-Beam Control)


         นอกจากนี้ยังเสริมอุปกรณ์ความปลอดภัย อาทิ จุดยึดเบาะนั่งเด็ก ISOFIX ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ (Speed Sensing Door Lock) เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบดึงรั้งกลับ ถุงลมนิรภัย 6 จุด กล้องมองภาพรอบทิศทางแบบ 3 มิติ (3D Around View Monitor) และระบบกุญแจนิรภัยแบบ Immobilizer

         ในส่วนของการทดลองขับเราเริ่มจากโหมด EV ที่ใช้ไฟฟ้าขับเคลื่อนล้วนๆ อัตราเร่งแซงถือว่า “ทันใจ” ไม่ต้องถนอมคันเร่งเหมือนคู่แข่งบางรุ่นเพราะระบบไม่ตัดการทำงานจนกว่าแบตเตอรี่จะเหลือต่ำเกินไป  จากคันที่ได้ลองขับถ้าแบตเตอรี่เต็มสามารถขับได้เป็นระยะทางเกือบ 60 กม.เลยมีเดียว ส่วนของการขับขี่ด้านอื่นๆการบังคับควบคุมพวงมาลัยถือว่าดี น้ำหนักการสาวพวงมาลัยก็กำลังดี ผู้ขับขี่ที่เป็นผู้หญิงคงชอบ  ช่วงล่างออกแน่นและแข็งในบางจังหวะ นั่งเป็นผู้โดยสารตอนหน้าและตอนเป้นผู้ขับรู้สึกอย่างนั้น แต่พอเปลี่นมาเป็นผู้โดยสารด้านหลัง กลับรู้สึกถึงความนุ่มนวลที่ค่อนข้าง “ย้วย” และ “โยน” มากไปหน่อย แต่ก็ถือว่า “พอรับได้” นะ


         พอลองเปลี่ยนโหมดการขับขี่เป็น ECO การตอบสนองคันเร่ง อัตราเร่งแซง รวมถึงการใช้ไฟฟ้าทั้งคันรู้สึกว่าช้าและน้อยลงอย่างรู้สึกได้ แต่พอมาตรวจดูอัตราการใช้พลังงานและระยะทางที่สามารถขับเคลื่อนไปได้จะเพิ่มขึ้นสวนทางกัน พอมาใช้ Normal โหมด ซึ่งลองใช้แล้วการตอบสนองการขับขี่ของตัวรถเป็นกลางมาก ทั้งการออกตัว การเร่งแซง การตอบสนองของคันเร่ง อีกทั้งการใช้ไฟฟ้าภายในตัวรถ ส่วนอัตราการขับขี่ระยะทางก็ลดลงตามสัดส่วนเช่นกัน ส่วนโหมด Sport อันนี้การตอบสนองทุกอย่างดีขึ้นเพราะการใช้ไฟฟ้าของตัวรถเต็มที่ เหมาะสำหรับการขับขี่บางจังหวะที่ต้องการสมรรถนะมากขึ้นอย่างการเดินทางไกล การเร่งแซง หรือการขับขึ้นทางชันมากๆ เป็นต้น  ส่วนโหมด Super Sport ครั้งนี้ไม่ได้ใช้งานเพราะเคยลองใน HS ตัวปกติกันไปแล้ว


         จุดเด่นอีกอย่างหนึ่งที่ได้ทดลองใช้คือ “Semi-Autonomous Driving System” เป็นการทำงานร่วมกันของ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน ACC (Adaptive Cruise Control) กับ ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติเมื่อความเร็วต่ำ TJA (Traffic Jam Assist) ที่ช่วยให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจและปลอดภัยอย่างมากในการขับขี่ในเมือง การใช้งานจะเป็นก้านเล็กๆด้านซ้ายของพวงมาลัย ดึงเข้าหาตัว 1 ครั้ง เปิดใช้งานระบบ ACC สามารถตั้งค่าความเร็วได้ ดึงเข้าหาตัว 2 ครั้ง เปิดการใช้งานระบบ TJA และสามารถตั้งค่าความเร็วได้เช่นกันตัวของ “Semi-Autonomous Driving System” จะช่วยความควบตุมความเร็วตัวรถให้อยู่ในระยะปลอดภัยจากรถคันหน้าทั้งช่วงความเร็วสูงและความเร็วต่ำ อีกทั้งที่ได้ลองใช้ระบบเตือนและควบคุมให้รถอยู่ในเลน LAS (Lane Assist System)ที่ประกอบด้วย  LDW, LDP และ LKA ทั้งหมดนี้จะช่วยให้เตือนและควบคุมตัวรถให้ไม่ออกนอกเลนที่วิ่งอยู่ อีกทั้งยังช่วย “ประคอง” ตัวรถให้อยู่ตรงกลางเลนตลอดเวลอีกด้วย การทดลองใช้งานรู้สึกว่า “ล้ำ” มาก เกือบจะเป็นการขับแบบอัตโนมัติอยู่แล้ว แต่บางช่วงของการจราจรบนท้องถนนในบ้านเราอาจจะไม่ค่อยเหมาะสนเท่าไรนักซึ่งก็มีปุ่มปิดการทำงานให้ใช้ด้วย


         สรุปการทดลองขับ NEW MG HS PHEV เส้นทางทดสอบแบบใช้งานจริงภายในเมืองที่การจราจรค่อนข้างคับคั่ง ความเร็วเฉลี่ย 23.63 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ระยะทางทดสอบเฉลี่ยจากทุกคัน 73.06 กิโลเมตร ส่วนอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงของรถที่ใช้ EV Mode และ AUTO Mode สลับแบบการใช้งานทั่วไป ใน 2 ช่วงแรก 56.69 กิโลเมตรต่อลิตร (อัตราสิ้นเปลือง 45.40-142.0 กม./ ลิตร) ส่วนของอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง เฉลี่ยรวมของรถทดสอบทั้ง 8 คัน บางคันมีการขับทุกโหมด อัตราสิ้นเปลืองเฉลี่ย 27.95 กิโลเมตรต่อลิตร ระยะทางที่รถสามารถวิ่งได้ด้วย EV Mode เฉลี่ยรวม 60.67 กิโลเมตร ไกลสุด 68.6 กิโลเมตร ปริมาณใช้น้ำมันเชื้อเพลิงต่อคันเฉลี่ย 1.8 ลิตร


Tags :

view